รีโนเวทบ้านไม้หลังเก่า 44 ปี ให้เป็นร้านกาแฟสีขาวในสวนเฟิร์น ใจกลางเมืองเชียงใหม่

รีโนเวทบ้านไม้หลังเก่า 44 ปี ให้เป็นร้านกาแฟสีขาวในสวนเฟิร์น ใจกลางเมืองเชียงใหม่

รีโนเวทบ้านไม้หลังเก่า 44 ปี ให้เป็นร้านกาแฟสีขาวในสวนเฟิร์น ใจกลางเมืองเชียงใหม่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลายคนอาจไม่เห็นคุณค่าของบ้านเก่า แต่สำหรับคุณสมาชิกหมายเลข 1951007 จากเว็บไซต์พันทิป ดอทคอมกลับเห็นคุณค่าและเปลี่ยนบ้านเก่าที่มีอายุมากกว่าเธอเกือบเท่าตัวเป็นร้านกาแฟสไตล์อบอุ่นน่านั่ง โดยลงมือทำเองทั้งหมด ทั้งๆ ที่เพิ่งจบการศึกษาและไร้ประสบการณ์ Sanook! Home จึงอยากแนะนำไอเดียการรีโนเวทที่จะเห็นว่าเป็นความพยายามในการรักษาคุณค่าของบ้านเดิมที่มีอยู่

ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีทุกท่านที่เข้ามากระทู้นี้นะคะ  กระทู้นี้เป็นการเขียนกระทู้ในพันทิปเป็นครั้งแรกของหนิง  หากผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ จุดประสงค์ของการเขียนกระทู้นี้ขึ้นมา คืออยากให้ทุกคนที่มีความคิดว่าอยากจะรีโนเวทบ้านเก่า เป็น บ้านใหม่ ได้อ่าน ขอออกตัวก่อนเลยนะคะว่าหนิงเป็นสถาปนิกจบใหม่สดๆ ร้อนๆ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพิ่งรับปริญญาไปเมื่อต้นปี 2558 แบบที่เค้าเรียกกันว่า “บัณฑิตป้ายแดง” ประสบการณ์การทำงานจริงด้านออกแบบเป็น 0 เคยก็แต่ทำโปรเจคของมหาลัยกับออก ค่ายสร้างบ้านเป็นครั้งคราว ยังไม่เคยจับโปรเจคไหนมาก่อน แต่วันนี้หนิงอยากจะมารีวิวโปรเจคแรกที่สร้างขึ้นจริง เรียกได้ว่าทุ่มสุดตัวเลยกับโปรเจคนี้ เพราะเป็นโปรเจครีโนเวทบ้านเก่าอายุ 44 ปีของคุณยายให้เป็นร้านกาแฟสวยในฝันของหนิงและแม่   
                     
ทั้งนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อการค้าหรือโปรโมทร้านแต่อย่างใด  จึงขอโฟกัส ไปที่เรื่องของการรีโนเวทบ้าน  เพราะอยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่มีบ้านเก่า แล้วกำลังคิดจะรื้อทิ้ง ให้เห็นว่าบ้านทุกบ้านมีคุณค่าซ่อนอยู่ เป็นคุณค่าของความทรงจำ เพียงแค่เรานำเอาบ้านนั้นมาปัดฝุ่นนิดหน่อย บ้านหลังเก่าก็จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

สำหรับโปรเจคนี้ใช้เวลาตั้งแต่คิด concept ดึง  รื้อ ทุบ เคาะ ส่วนที่ไม่ใช้ ก่อสร้างต่อเติมใหม่  ตกแต่งภายใน  ทำสวน สิริเวลารวม 6 เดือน โดยเริ่มโปรเจครีโนเวท ตั้งเเต่เดือนมิถุนายน ปี 2557  ซึ่งหนิงคุมงานก่อสร้างเองทั้งหมด  ผู้รับเหมาก็เป็นรุ่นน้องของคุณ แม่ที่รู้จักกัน พร้อมคนงานประมาณ 6 คน (นับรวมตัวเองลงไปในนี้แล้วนะคะ 555+ )

บ้านใหม่ ทำเลดีบ้านใหม่ ทำเลดีบ้านใหม่ ทำเลดี

มาดูรูป   Before กับ  After กันก่อนเลยนะคะ

After ค่ะ

Note : มาพูดถึงประวัติตัวบ้านก่อนนะคะ บ้านไม้หลังนี้เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ตั้งอยู่ในเขตคูเมืองเชียงใหม่ ตรงถนนเส้นที่ตัดผ่านหน้าวัดพระสิงห์พอดิบพอดี (ตลกตรงที่ช่างไม้แงะผนังไม้ออกมาแล้วเจอกระดาษที่ช่างสมัยก่อนเค้าเอาหนังสือพิมพ์ยัดตรงกลางผนังเขียนระบุปีพ.ศ.ไว้ว่า 2514  ทำให้รู้ว่าบ้านหลังนี้สร้างมาเมื่อ 44 ปีที่แล้ว )

โดยบ้านหลังนี้คุณยายของหนิงซื้อต่อจากนายธนาคารคนหนึ่งไว้เมื่อ 30 ปี ซึ่งเป็นเวลาพอดิบพอดีกับที่คุณยายซึ่งพื้นเพเป็นคนน่านต้องการจะส่งลูกๆ มาเรียนที่เชียงใหม่ คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนตอนที่เรียนโรงเรียนประถมคุณแม่กับน้าก็พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้แหละค่ะ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำ พอไม่มีคนอยู่เลยให้บริษัท ปูนซีเมนต์ไทยเช่าเป็นบ้านพักพนักงานเกือบ 10 ปี ต่อมาเมื่อปูนซีเมนต์ย้ายออก ก็ได้ให้ร้านอาหาร แก่นชัย อาหารอีสานเช่าต่ออีกกว่า 20 ปี ซึ่งทางแก่นชัยได้ปรับพื้นที่สนามหน้าบ้านเป็นส่วนขายอาหารโดยเทพื้นเป็นลานซีเมนต์ทับทั้งหมด ส่วนตัวบ้านเองก็ใช้เป็นที่อยู่อาศัยจนร้านแก่นชัยย้ายออกไปเมื่อปลายปี 2556  หนิงกับคุณแม่เลยคิดว่า “เอาหล่ะได้เวลาอันสมควรแล้ว ที่จะย้ายร้านที่แต่เดิมเคยเปิดอยู่ในซอยออกมาที่ตรงบริเวณนี้"

มาถึงตรงนี้ขอยืมภาพประกอบการจากเว็บเพจของครัวทนายอ้วนนะคะ

จากภาพจะเห็นได้ว่าในอดีตมีการใช้พื้นที่บริเวณลานหน้าบ้านในส่วนที่ติดกับถนนใหญ่ทำเป็นร้านอาหารทั้งหมด โดยมีการปูพื้นซีเมนต์เเละทำโครงสร้างหลังคาเหล็ก ครอบคลุมตลอดพื้นที่ค่ะ

เอาหล่ะคะ มาพูดถึงลักษณะโดยรวมของตัวบ้านเก่ากันหน่อยดีกว่า  
หนิงขอแบ่ง เป็น 3 ส่วนนะคะ

ส่วนที่ 1 ลานซีเมนต์หน้าบ้าน
เป็นลานโล่งเทพื้นซีเมนต์ตลอดลาน ร้อนสุดๆ ไปเลย โดยเฉพาะในเดือนเมษา ไปยืนกลางลานนี่เรียกได้ว่า สุก เกรียม well done กันทีเดียวคะ 555  พื้นที่ลานทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสประมาณ 100 ตารางเมตร  กลางลานมีต้นปาล์มขนาดใหญ่ 3 ต้น สูงชะลูดเชียว น่ากลัวจะหักลงมานี่สิคะ และบริเวณใกล้ตัวบ้านก็ยังมีต้นมะม่วงขนาดใหญ่อีก 1 ต้น  นอกนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าพืชพันธุ์ใดใด ณ จุดนี้ คุยกับคุณแม่ว่าอยากจะร้องไห้มาก เพราะมันหมายถึงว่า เราต้องทำการปลูกต้นไม้ใหม่เกือบทั้งหมดลงในพื้นที่

ส่วนที่ 2 ตัวบ้าน
สำหรับตัวบ้านเป็นบ้าน 2 ชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ หลังคาจั่ว ทรงบ้านโมเดิร์นตามสมัยนิยมเมื่อ 40 ปีก่อน ไม่แน่ชัดว่าใครออกแบบนะคะ ผังบ้านสี่เหลี่ยมผืนผ้าธรรมดาๆ ตัวบ้านหันหน้าเข้าทิศตะวันตก มีบันไดอยู่กลางบ้าน โครงสร้างชั้นล่างเป็นคอนกรีตทั้งหมด  มีการกั้นห้องเป็นส่วนๆ ตามการใช้งานของผู้เช่า ส่วนชั้น 2 เป็นไม้ทั้งหมด ตั้งแต่ ตง  คาน  ไม้พื้น  ไปจนถึงการแบ่งกั้นห้องด้วยผนังไม้ หลังบ้านเป็นห้องน้ำสำหรับแขกซึ่งร้านอีสานต่อเติมภายหลังการเช่า

ส่วนที่ 3 ลานจอดรถ
ลานจอดรถอยู่ทางทิศเหนือของตัวบ้าน ปูอิฐตัวหนอนเต็มลาน ซึ่งก่อนการปรับปรุง คุณแม่ใช้เป็นที่เก็บของเก่า โดยเฉพาะกระเบื้องดินขอที่ถอดมาจากบ้านหลังเดิมในซอยแต่ไม่ยอมทิ้ง เพราะบอกว่ายิ่งเก่ายิ่งสวย พวกโบราณนิยมกันแบบนี้แหละคะ เก็บทุกอย่าง 555 เลยกลายเป็นกองกระเบื้องกองมโหฬารข้างบ้าน

หลังจากสำรวจพื้นที่กันแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการแปลงโฉมบ้าน ที่ทุกคนรอคอยกันคะ

ขั้นที่1 เลือก concept หรือ เรียกง่ายๆ ชาวบ้านๆ ว่า รูปแบบแนวทางของร้านเนี่ยแหละคะ ว่าจะให้เป็นไปในสไตล์ไหน เนื่องจากร้านเก่าก่อนที่จะย้ายมาที่นี่มี concept ที่ค่อนข้างที่จะชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็น ร้านกาแฟในสวนเฟิร์น  หนิงกับคุณแม่เลยคิดว่า ถ้าต้องย้ายมาสร้างใหม่ที่นี่ก็ยังไม่อยากที่จะให้หลุดจาก concept เดิม ก็แน่นอนค่ะว่าต้องเป็น “สวนเฟิร์น” ซึ่งโชคดีตรงที่ได้อาจารย์จัดสวนท่านเดิมทีเคยจัดให้ร้านแรกเมื่อ 12 ปีก่อนมาจัดให้ (พูดแล้วก็ถือโอกาสขอบคุณอาจารย์เฉลิมเกียรติ นักจัดสวนผลงานระดับประเทศมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ สำหรับการเนรมิตป่าเฟิร์นกลางเมืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง )  

ในขั้นต้นเราได้ทำการพิจารณาเลือกอยู่ 2 แบบคือโดยหนิงได้โพสภาพลงใน FB เเละถามความคิดเห็นของเพื่อนๆ  รวมถึงที่ร้านเก่าเอง เวลามีลูกค้ามา ก็จะเอาภาพ 2 ภาพไปเปรียบเทียบให้ลูกค้าคอมเม้นท์

แบบที่ 1 เน้นไปที่การโชว์วัสดุ  เเละโครงสร้างของอาคารเดิม  โดยมีการใช้เหล็ก เเละปูนเปลือยเข้าเสริมบางส่วนเพื่อให้เข้ากับสไตล์  LOFT  ตามสมัยนิยม เน้นการใช้กระจกเพื่อการเปิดมุมมองสู่สวนภายนอก  ตกแต่งสไตล์เรียบง่าย

แบบที่ 2 แนวคิดบ้านไม้สีขาว ท่ามกลางสวนเฟิร์น ตกแต่งสไตล์คลาสสิก ดูอบอุ่น

สรุปเป็นอันว่าได้แบบที่ 2 ค่ะโดยใช้โทนสีขาวเป็นหลัก และตั้งใจไว้ว่าจะตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เก่าของสะสมของคุณแม่และเครื่องลายคราม ปลูกต้นไม้ในอาคารให้สบายตา เน้นไปที่ความโปร่งโล่งสบายให้คนเข้ามารู้สึกถึงความหรูหรา  แต่ในขณะเดียวกันก็อบอุ่นเสมือนอยู่บ้าน พูดมาถึงตรงนี้ภาพนิมิตเริ่มมา ฮ่าๆๆ  แต่กระซิบบอกว่ากว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ก็หลงทางไปนานเหมือนกันค่ะ โหวตกันอยู่นาน โดยหนิงกับแม่กำหนดไว้ว่าจะต้องเปิดร้านให้ทันสิ้นปี  2557  อันที่จริงแล้วตั้งใจไว้ว่าจะเปิดเดือนสิงหาคม แล้วมันก็เลื่อนมาเรื่อยๆ ละสิคะคุณผู้ชม จากสิงหา กันยา ตุลา พฤศจิกา มาเสร็จเอาจริงๆ ธันวา อย่างนี้สินะคะที่เค้าเรียกกันว่า บ้าน (ตัดไม้โทออก) กลายเป็น “บาน”  บานทั้งเวลา ทั้งเงินเลยค่ะ  พูดแล้วน้ำตาจะไหล T^T

หลังจากทำแปลนและขึ้นภาพสามมิติพอเห็นภาพคร่าวๆ  ตามสไตล์เด็กจบใหม่  ร้อนวิชา  ก็มาลุยกันเลยคะ

สำหรับชั้นล่าง
เริ่มจาก รื้อ ทุบ ทำลายเลยคะ  5555+ เพราะผนังเยอะมาก กั้นเป็นห้องย่อยๆ ทำให้ทุกอย่างดูเล็กคับแคบอึดอัดไปหมด อีกอย่างหนิงกับแม่ตั้งใจไว้ว่า อยากให้พื้นที่ชั้นล่างโล่งๆ ลักษณะบ้านคนไทย คือมีใต้ถุน  หน้าต่างเลยเลือกใช้เป็นกระจกบานเฟี้ยมทั้งหมดคะ  ในหน้าหนาวหรือวันไหนที่ไม่ร้อนมาก ก็จะเปิดหน้าต่างทั้งหมด เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และเพื่อความรู้สึกและมุมมอง ตามแนวคิด outside in  - inside out  ง่ายๆ คือว่านั่งในบ้านก็เหมือนนั่งอยู่นอกบ้าน  สัมผัสกับธรรมชาติป่าเฟิร์นได้อย่างเต็มที่ระดับ HD คะ

จากภาพประกอบจะเห็นได้ว่าจะพอเริ่มทำการทุบผนังบ้านในชั้นล่างที่แบ่งห้องออกเป็นห้องเล็กห้องน้อยพื้นที่คับแคบเเล้ว พื้นที่ชั้นล่างกลับดูโล่งสบายตาขึ้นเยอะค่ะ เเละยังทำการรื้อฝ้าเพดานชั้นล่างออกทั้งหมด เพื่อเพิ่มความสูงของระยะเพดานทำให้รู้สึกไม่อึดอัด เเต่ผลที่ได้เกินคาดค่ะ เมื่อทำการรื้อฝ้าเพดานเก่าๆ ออกกลับเจอโครงสร้างของพื้นไม้ชั้น 2 ที่เมื่อมองจากชั้นล่างนี้ สวยเอาซะมากๆ

ส่วนพื้นแต่เดิมเป็นหินขัดค่ะ ค่อนข้างเก่าและแตกลายงา เลยปูกระเบื้องใหม่ทับลงไปบนพื้นเดิมเลย เลือกใช้กระเบื้องแกรนิโต้ที่มีสีคล้ายหินอ่อนสีขาว เพื่อเซฟในเรื่องของต้นทุนไปได้ในระดับนึง ความงามนี่ไม่แตกต่างเลยนะคะ ตัดขอบสักนิดด้วยกระเบื้องสีดำ

ส่วนตัวเพดานเดิมเองเราชอบมากๆ เป็นเพดานที่โชว์โครงสร้างพื้นชั้น 2 ซึ่งเป็นไม้แดง ขอบอกเลยว่า สีไม้สวย และมีสภาพสมบูรณ์มากๆ จะมีแค่บางส่วนที่ผู้เช่าเดิมทาสีน้ำมันทับ ต้องขูดสีออกกันยกใหญ่เพราะสีเริ่มเสื่อมสภาพหลุดร่อนออกมา พอเห็นความงามแล้วแทบไม่อยากทาสีขาวทับ อยากโชว์พื้นไว้อย่างนั้นเลย แต่โดนคุณแม่ห้าม บอกว่าอย่าหลุดธีม 5555 สรุปทาสีขาวทับค่ะ โดยใช้สีน้ำอะคริลิคกึ่งเงา สำหรับทาไม้โดยเฉพาะ  

โดยชั้นล่างเองหนิงปรับเป็นพื้นที่เคาน์เตอร์ และพื้นที่นั่งแขกเกือบเต็มพื้นที่  บันไดตรงกลางบ้านย้ายมาติดผนัง และรื้อห้องน้ำชั้น 1 ออกเพื่อเพิ่มพื้นที่ขาย เว้นส่วนหนึ่งไว้เป็นห้องทำเบเกอรี่ ต่อเติมหลังคายื่นด้านข้างบ้านเล็กน้อยไว้เป็นพื้นที่อบขนม ส่วนพื้นที่โล่งหลังบ้าน หนิงสร้างเป็นห้องครัวและห้องเก็บของ ต่อเติมออกมาจากบ้านเดิม

ปล. ภาพซ้ายมืออยากให้ทุกคนเห็นบันได สวยมากๆ เลยค่ะ ทั้งในเรื่องของโครงสร้างและสัดส่วน ลักษณะบันไดคล้ายปีกเครื่องบินที่ยึดกับไม้คานตรงกลางแล้วยื่นออกไปสองข้าง คนสมัยก่อนนี่เก่งจริงๆ
สำหรับตัวห้องน้ำด้านหลัง ติดตั้งกระเบื้อง และสุขภัณฑ์ใหม่ทั้งหมดแทนของเก่าที่ทรุดโทรมและชำรุดค่ะ

ปล. สายไฟและท่อประปาในบ้านเราให้ช่างเดินใหม่ทั้งหมดเลยนะคะ เพื่อให้เหมาะสมกับ function การใช้งานใหม่

สำหรับชั้นบน

หนิงแบ่งเป็นพื้นที่ร้านและพื้นที่อยู่อาศัยคะ โดยครึ่งหน้าของบ้าน ปรับปรุงให้เป็นลักษณะของโถงขนาดใหญ่  ใช้เป็นพื้นที่นั่งของแขกคะ ส่วนด้านบนนี้ตั้งโต๊ะได้ทั้งหมดประมาณ  6 โต๊ะ  แบบสบายๆ   แต่วันไหนที่ต้องการมีการจัดประชุมหรือสัมมนา  หรืองานเลี้ยงส่วนตัวก็สามารถโยกย้ายโต๊ะได้ค่ะ

 

ภาพก่อนการรีโนเวทจะเห็นได้ว่าบริเวณชั้น 2  มืดเอามากๆ เพราะมีการกั้นห้องแบบคับแคบ เเละการใช้สีภายในทำให้ดูหม่นๆ อีกทั้งบานหน้าต่างสั้นๆ ทำให้เเสงสว่างส่องผ่านเข้าได้น้อยมากๆ

ภาพหลังการ รีโนเวท  

หลักๆ ที่ทำการปรับปรุงของชั้นนี้คือบานเปิด พวกหน้าต่างค่ะ แต่เดิมเป็นบ้านเปิดคู่สั้นๆ แบไม้ทึบเต็มแผ่น  ทำให้แสงไม่ส่องผ่านภายในบ้านเวลากลางวัน  และมุมมองไม่สวย เพราะไม่สามารถมองออกไปเห็นสวนด้านนอกได้  หนิงเลยทำการรื้อทั้งหมดออก แล้วเก็บไว้ (กะว่าจะเอาไปสร้างบ้านบนดอยอีกหน่อยถ้ามีโอกาส) แล้วเปลี่ยนเป็นใช้หน้าต่างกระจกบานเปิดขนาดใหญ่ ที่ยาวจรดพื้น กั้นกันตก ด้วยราวระเบียงเหล็ก รื้อฝ้าเพดานเดิม ใส่แผ่นฉนวนกันความร้อนเข้าไปใหม่ เดินสายไฟ แล้วติดแผ่นฝ้าตามแนวจั่ว เพื่อเพิ่มความสูงให้กับฝ้าเพดาน

ภาพนี้เป็นสำหรับครึ่งหลังของชั้นสอง โดยกั้นเป็นห้องพักอาศัยจำนวน 2  ห้อง มีห้องอาบน้ำขั้นตรงกลาง โดยใช้ห้องอาบน้ำร่วมกัน ห้องนึงมีห้องลับเล็กๆ ยื่นออกข้างๆ ตัวบ้าน ใช้เป็นห้องทำงานและเก็บเอกสาร ห้องที่ว่านี่เล็กจริงๆ นะคะ ไม่เชื่อต้องดูในภาพ ส่วนอีกห้องมีการต่อเติมระเบียงสำหรับนั่งเล่น โดยใช้โครงสร้างไม้ ยึดต่อเติมจากโครงสร้างเดิม

ปล. หลังคาเปลี่ยนวัสดุมุงใหม่หมดเลยนะคะ จากเดิมเป็นกระเบื้องลอน แต่ด้วยความผุผัง น้ำฝนรั่วเยอะมากๆ ค่ะ เลยเปลี่ยนใช้เมเทิลชีททั้งหมด

รวมเวลางานโครงสร้าง และงานต่อเติมภายนอก และภายในที่ไม่เกี่ยวกับงานตกแต่งก็ใช้เวลาร่วม 5 เดือนแล้วค่ะ

ภาพนี้เป็นมุมมองจากด้านที่จอดรถค่ะ

ที่นี้ก็มาถึงส่วนที่หลายคนรอคอยเเละหนิงเองก็รอคอยค่ะ ตามสไตล์ผู้หญิงมักชอบการตกแต่ง เเละการใส่รายละเอียด บ้านจะเสร็จสมบูรณ์ได้อย่างไร หากไร้ซึ่งการตกแต่งภายในบ้าน หรือที่เราเรียกกันว่า " อินทีเรีย  " นั่นเอง ตัวบ้านจะเห็นได้ว่าแทบไม่มีส่วนเฟอร์นิเจอร์ built-in เลยนะคะ เกือบทั้งหมดเรียกได้ว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ลอยตัว ซึ่งหนิงเน้นในเรื่องของ “การปรับเปลี่ยนพื้นที่ค่ะ ทั้งโต๊ะ  เก้าอี้  ตู้ต่างๆ สามารถเคลื่อนย้ายสลับไปมาได้หมด  เน้นใช้ของเก่า  ของสะสม ของบางอย่างที่คิดว่าไม่น่าจะใช้ได้ ก็เอากลับมาซ่อมแซม ขัดสีฉวีวรรณให้เรียบร้อย เช่น ชุดโซฟาตัวนี้ ได้มาจากยายค่ะ เอาไปซ่อมหวาย และทาสีทับดูใหม่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ส่วนพวกตู้ส่วนมากจะเป็นของสะสมของคุณแม่ซึ่งซื้อเอาไว้เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด ชิ้นไหนพอลองเอามาวางแล้วโป๊ะเซ๊ะ !  ก็วางไว้เลยค่ะ จริงๆ จะบอกว่าส่วนใหญ่แทบไม่ได้วางแผนไว้ก่อน เน้นหมุนวางหน้างาน ชิ้นไหนลงมุมไหนสวยก็ตกลงกันตามนั้น เคยมีคำพูดต่อๆ กันมาว่า "ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน” หนิงคิดว่าคำพูดนี้ไม่ผิดเลยนะคะ เรียกว่าบ้านหลังนี้ตกแต่งในแบบที่เราชอบ ในแบบที่เราสบายใจ โดยแท้

สำหรับชั้นล่างนี้ยังคงเน้นในเรื่องดีเทลของประดับตกแต่งชิ้นเล็กชิ้นน้อย เช่น  ถ้วยจานเครื่องลายคราม เครื่องแก้ว หนังสือขนมอาหาร (ของสะสมส่วนตัวของหนิง)  โคมไฟ  หมอนอิง 

ภาพนี้เป็นของสะสม Blue & White ที่น้าน้อยให้หนิงตอนที่รู้ว่าจะเปิดร้าน ต้องขอขอบคุณมา ณ  ทีนี้เลยนะคะ  ^^   ต้องบอกว่าถูกใจหนิงกับเเม่เอาซะมากๆ

มาถึงเครื่องประดับชิ้นเองที่ไม่เพียงความสวยแต่ยังให้เสียงเพลงเพราะได้อีกด้วย อย่างเปียโน Yamaha รุ่นคุณแม่  ชอบตรงที่พอมีเปียโนตัวนี้วางเข้าไป ร้านนี้ดูอบอุ่นและให้ความรู้สึกเป็นบ้านขึ้นทันทีค่ะ ที่สำคัญมักจะมีลูกค้าหมุนเวียนมาเล่นเป็นประจำ

เฟอร์นิเจอร์เน้นเป็นหวายสีขาวให้ความรู้สึกเบาสบาย ตัดกับหมอนอิงสีน้ำเงินเข้ม navy blue  ทำให้ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็เข้ามานั่งในร้านได้อย่างไม่เก้อเขิน ตามมุมและขอบอาคารภายใน จะมีการปลูกต้นไม้สีเขียวในการถาง  ช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย และสบายตา

ส่วนเคาน์เตอร์ดีไซน์เองค่ะ ตามฟังก์ชั่นการใช้งาน ลักษณะเป็นตัวแอล  ตกแต่งด้วยลูกฟักทางตั้งให้ล้อไปกับลักษณะของหน้าต่างค่ะ

แสงไฟภายในร้านเน้นใช้แสงสว่างจากโคมไฟโบราณ ทั้งแบบห้อย  และแบบตั้งโต๊ะ และใช้ไฟสี warm white ให้ความรู้สึกอบอุ่น

ส่วนชั้น 2
ด้วยความที่เป็นโถงขนาดใหญ่ และสเปชดูค่อนข้างจะโอ่โถ่งกว่าชั้นแรก เพราะมีเพดานที่สูง หนิงเลยเลือกติดโคมไฟระย้าขนาดไว้กลางห้องค่ะ ช่างไฟบ่นอุบว่าติดยากมาก เพราะเพดานค่อนข้างสูง ส่วนด้านล่างวางโต๊ะกลมไว้เพื่อวางต้นไม้กั้นพื้นที่ออกเป็นฝั่งซ้ายและขวา เพื่อความเป็นส่วนตัวมากขึ้นค่ะ

ด้านบนนี้จะเน้นเฟอร์นิเจอร์สีไม้นะคะ กับหมอนอิงสีครีม สบายๆ ไปอีกแบบให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากชั้นล่าง

เรามาหยุดส่วนของบ้านแล้วมาพูดถึงสวนกันบ้างนะคะ เชื่อว่าหลายๆ คนก็รอให้พูดถึงสวนอยู่เหมือนกัน เพราะเมื่อมีบ้านก็ต้องมีบริเวณสวน เป็นเหมือนทรายกับทะเล ที่ขาดจากกันไม่ได้  ฮิ้ววววว
เริ่มจากงานทุบอีกตามเคยค่ะ ทุบพื้นซีเมนต์ออกทั้งหมด เพราะส่วนหนึ่งจะขุดเดินท่อระบายน้ำออกหน้าบ้าน  อีกส่วนเพื่อการปรับระดับดินสำหรับปูศิลาแลง ที่เหลือรอบๆ ทิ้งไว้เป็นที่โล่งสำหรับปลูกต้นไม้ ส่วนที่ยากที่สุดก็คือสวนนี้อยู่ทางทิศตะวันตกของตัวบ้าน ติดกับถนนใหญ่ ซึ่งรับแดดเต็มๆ ในตอนบ่าย ข้อนี้เป็นอีกข้อที่เล่นเอาเหนื่อย เพราะต้องสร้างร่มเงาให้มากเพื่อการปลูกเฟิร์น

รวมถึงตัดต้นปาล์มกลางลานออก หลายคนคงคิดว่าเสียดายทำไมต้องตัดต้นไม้ทิ้ง เพราะใบแห้งคาต้นเยอะมากค่ะ ถ้าอีกหน่อยตกลงมาใส่ลูกค้าที่นั่งอยู่ในสวนคงไม่ดีแน่ค่ะ เพราะฉะนั้นเรื่องความปลอดภัยมาก่อน นี่เป็นทางเลือกสุดท้ายค่ะ ตอนแรกคิดกับคุณแม่ว่าจะยกให้คนที่อยากได้ แต่ติดเรื่องการล้อม และการขนส่งจริงๆ ค่ะ จึงตัดสินใจเอาลง

ภาพต้นปาล์มขนาดใหญ่ 3 ต้นค่ะ จากภาพคงเห็นว่าสูงมากจริงๆ

จากนั้นก็ถึงช่วงเวลาของการลงต้นไม้ใหญ่ คุณแม่เลือกต้นไม้ที่คิดว่ามีใบหนาทนแดด ใบไม่ร่วง เพราะตัวต้นไม้ใหญ่นี้เองจะเป็นร่มเงาให้กับเฟิร์นที่อยู่ด้านล่างไม้ให้โดนแสงแดดที่จัดมากเกินไป ต้นไม้ที่ว่าได้แก่ ต้นจิกน้ำ  ต้นแคนา ต้นวาสนา  ต้นเกาลัด เป็นต้น โดยเอาต้นไม้ใหญ่ลงก่อนพวกเลยค่ะ ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ลงต้นไม้หน้าฝนพอดี ตอนแรกก็ลุ้นๆ เห็นหลายต้นทำท่าจะตาย แต่สุดท้ายก็รอดค่ะ ^^

ภาพนี้คนสวนกำลังช่วยกันเอาต้นวาสนา (ยักษ์) ปลูกบริเวณริมรั้วที่ติดกับตึกในที่ดินฝั่งตรงข้ามค่ะ สาเหตุที่หนิงเเละคุณเเม่เลือกใช้ต้นวาสนาเพราะมีความสูงที่พอเหมาะมีใบเขียว หนาทึบ ปลูกง่าย เหมาะสำหรับการทำเป็นต้นไม้ Background ได้ดี

จากนั้นก็เริ่มทำน้ำตก โดยได้อาจารย์เฉลิมเกียรติเป็นผู้วางหินและไม้ตกแต่งให้ค่ะ  Concept ของการวางแนวน้ำตก คืออยากให้ทุกคนมองเห็นแบบพาโนราม่า ที่นั่งในสวนทุกที่นั่งจะต้องสามารถมองเห็นน้ำตกได้ โดยลักษณะเป็นน้ำตกแบบ 3 ขั้นบันได ใช้หินกาบทองในการตกแต่ง แทรกบางส่วนด้วยกิ่งไม้เก่า เเละ ต้นเฟิร์นเพื่อสร้างความสมจริงค่ะ

จำได้ว่าความคิดแรกก่อนที่จะรีโนเวทบ้าน ได้บอกกับคุณเเม่ว่าอยากได้ร้านที่แบบว่าเวลาลูกค้าจะเดินเข้าร้านจะต้องข้ามสะพานเล็กๆ ที่มีปลาเเหวกว่ายก่อน มันคงจะน่ารักน่าดูใช่มั้ยหล่ะคะ เพื่อสานฝันให้เป็นจริง จึงได้ปรึกษากับอาจารย์เฉลิมเกียรติ โดยอาจารย์เป็นผู้ร่างเเบบบ่อปลาให้ ซึ่งอาจารย์ได้ใช้ไม้เท้ากายสิทธิ์คู่ใจร่างบ่อปลารูปร่าง Free Form  บางคนบอกคล้ายถุงเงินถุงทอง บางคนบอกคล้ายดัมเบล โดยวาดลงบนดินตรงนั้นเลยค่ะ ผลคือ !!!!!!!!!  ฝนตกสิคะคุณผู้อ่านทุกท่านเรียกได้ว่าถึงเวลาขุดดินก็งมกันเอาอีกทีหน้างาน ฮ่าๆๆ

อันนี้เป็นภาพโครงสร้างของบ่อปลาก่อนการฉาบปูนค่ะ มีการทำบ่อกรองบริเวณข้างๆ บ่อปลา โดยความลึกของบ่ออยู่ที่ 65 เซนติเมตร

จากภาพเป็นขั้นตอนของการปูศิลาแลงค่ะ ใช้เวลาทั้งสิ้น 4 วันถ้วน เรียกว่างานเร่ง ทำโอทียันดึกยันดื่นค่ะ ตอนแรกว่าจะทำทางเดินเป็นแนวค่ะ แต่คิดไปคิดมาปูศิลาแลงทั้งหมดเลยดีกว่า เพราะถ้ามีการจัดงานเลี้ยง  หรือปรับเปลี่ยนการใช้งานพื้นที่ การวางโต๊ะจะได้ทำได้ง่าย

เริ่มลงต้นไม้ระดับกลางและไม้คลุมดินค่ะ เน้นเฟิร์นเป็นหลักนะคะ หลากหลายพันธุ์
ภาพตัวอย่างของเฟิร์นที่ใช้ในสวนค่ะ

ส่วนเจ๊กระเป๋าส้มนี้เเม่หนิงเองค่ะ คุมงานเองทุกขั้นตอน เรื่องสวนต้องยกให้นาง นางรักต้นไม้ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลกนี้  พอพูดถึงตรงนี้อยากเล่าถึงเบื้องหลังความงามของสวนสวยของที่ร้านนะคะ ท่านผู้อ่านเชื่อหรือไม่คะว่าที่ร้านไม่มีคนสวนประจำร้านเลย  ถ้าจะมีก็มีเเต่คุณเเม่นี้เเหละค่ะ ตื่นมารดน้ำเช้า เย็น  ทุกวันไม่มีขาด นางบอกว่า การรดน้ำเป็นการทำสมาธิ และเเม่มีความสุขถ้าได้เห็นต้นไม้สวยขึ้นในทุกๆ วัน

ภาพนี้เป็นทีมงานคุณภาพค่ะ คุมงานโดยอาจารย์เฉลิมเกียรติ นักออกแบบสวนแห่งนี้นี้ค่ะ

สำหรับบริเวณรั้วด้านข้างฝั่งที่ตรงกันข้ามกับน้ำตกจะปลูกเป็นดาหลาค่ะ กะว่าถ้าโตก็จะโค้งลงมาเป็นแนวซุ้มดาหลาสวยๆ ให้ร่มเงาค่ะ
ในภาพนี้ต้นยังเตี้ยอยู่เลยค่ะ ความสูงเลยขอบรั้วมานิดเดียว

ส่วนรั้วด้านหน้า ปลูกไทรเกาหลียาวตลอดแนวค่ะ โดยใช้รั้วเหล็กเดิมเพียงทาสีใหม่ทับ

ต้นนี้เลยค่ะ พระเอกของร้าน ต้นมะม่วง เอาเฟิร์นไปห้อยติดไว้ทั้งกระเช้าสีดา และสไบนาง เขียวชอุ่มเชียว

เมื่อมีพระเอกก็จะขาดนางเอกไปไม่ได้ ซึ่งก็คือ "สวนเฟิร์นแนวตั้ง" บริเวณด้านข้างตัวบ้านค่ะ ส่วนนี้ต้องให้เครดิตน้องชาย เพราะเป็นคนไปหาข้อมูลวิธีการปลูกมาให้  โดยน้องเเนะนำว่าใช้ท่อเหล็กเก่ากับเหล็กกล่องยึดกับแนวเสารั้วเดิม  ทำเป็นโครงสร้างสำหรับห้อยต้นเฟิร์น

ส่วนสวนเเนวตั้งนี้ลงมือปลูกเองทั้งหมดค่ะ เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน  (ปาดเหงื่อ)

โดยแนวคิดในการเรียงต้นไม้คือ การสุ่มค่ะ  หรือภาษาบ้านๆ คือ  มั่ว เเม่บอกว่าให้เรียงสลับๆ กันดูตามความเหมาะสม หนิงก็จัดตามสิคะเเละผลที่ได้คือ

ภาพนี้คือตอนเสร็จเเล้วค่ะ กับสวนเเนวตั้งที่ภูมิใจนำเสนอสุดๆ อิอิ

บริเวณขอบด้านล่างปูหินกรวดสีดำเพื่อความสวยงาม โดยทับบนตะแกรงไว้ค่ะ เพราะด้านล่างเป็นท่อระบายน้ำ เนื่องจากเวลารดน้ำสวนเเนวตั้ง จะมีน้ำไหลลงมาจำนวนมาก จึงต้องทำท่อระบายน้ำไว้ด้านล่าง

สำหรับบริเวณทางเดินด้านข้างที่ติดกับตัวบ้าน หนิงเลือกปูหินค่ะ โดยใช้หินแม่น้ำเรียงลายสลับสี
ไปมา ช่วยกันอยู่กับช่าง 2 -3 คน สวยงามไปอีกแบบ เห็นพื้นที่ไม่เยอะแบบนี้ก็กินเวลาไป 5 วันเลยนะคะ

ส่วนในสวน
วางชุดโต๊ะเก้าอี้ไว้เป็นกลุ่มๆ ตามแนวร่มไม้ค่ะ ณ จุดๆ นี้ร่มสำคัญมากค่ะ เพราะตอนบ่ายแดดร้อนเอาเรื่อง หมอนกะเหรี่ยงที่คุณแม่ตัดเย็บเองทุกใบค่ะ พอมาวางในสวนทำให้สวนดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากเลยค่ะ

และอีกส่วนที่ภูมิใจนำเสนอคือบ่อปลาคราฟของน้องชายสุดหล่อค่ะ อยู่บริเวณหน้าบ้านพอดี คือถ้าใครจะเดินผ่านเข้าบ้านก็ต้องข้ามผ่านสะพานเล็กๆ นี้ไปก่อน ตรงนี้เป็นจุดที่ดึงดูดความสนใจของเด็กๆ มาได้มากนะคะ  จำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง มีเด็กกระโดดลงสระไปว่ายน้ำเล่นกับปลา โชคดีที่ระดับน้ำไม่สูงมาก เล่นเอาปวดหัวกันเลยทีเดียว

และความสามารถพิเศษของน้องชาย คือ การดึงดูดปลาทุกตัวในสระให้มาหาอย่างรวดเร็ว

ภาพนี้น้องชายกำลังลงต้นไม้บริเวณรอบๆ บ่อปลาค่ะ โดยมีคุณเเม่เล่นไอแพดเป็นกำลังใจ  5555

และมาถึงภาพสุดท้ายค่ะ

เป็นอันสิ้นสุดการรีวิวเพียงเท่านี้ก่อนนะคะ

 

 

 

 

 

 

 

 

อัลบั้มภาพ 67 ภาพ

อัลบั้มภาพ 67 ภาพ ของ รีโนเวทบ้านไม้หลังเก่า 44 ปี ให้เป็นร้านกาแฟสีขาวในสวนเฟิร์น ใจกลางเมืองเชียงใหม่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook